Feature

McLaren : บทพิสูจน์การ "เกือบหลับแต่กลับมาได้" แห่ง F1 ยุคใหม่ | Main Stand

ในฤดูกาล 2025 ที่การแข่งขัน Formula 1 กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ภาพรถแข่งสีส้มมะละกอของทีม McLaren ที่กำลังไล่บี้เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์โลกกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง Red Bull และ Ferrari กลายเป็นภาพที่คุ้นตา 

 


แต่น้อยคนจะจำได้ว่า เพียง 3 ปีก่อนหน้า ทีมระดับตำนานทีมนี้กำลังจมอยู่ในความมืดมิดและดิ้นรนอย่างหนักอยู่ท้ายตาราง

นี่คือเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่ง จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด และการปีนกลับขึ้นมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ยอดเยี่ยมถึงจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขา

 

ฤดูกาล 2021 : แสงแห่งความหวังและความสำเร็จที่หวนคืน

หลังจากปี 2018 McLaren เป็นทีมที่เพิ่งฟื้นตัวจากความเจ็บช้ำจากปัญหาอันรุมเร้า พวกเขาปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับตั้งแต่ แซค บราวน์ เข้ามาบริหารทีมอย่างเต็มตัว โดยความสำเร็จแรกคือ การขึ้นโพเดียมอันดับ 3 ที่บราซิลในปี 2019 และโพเดียมอันดับ 2 ที่มอนซ่า ในปี 2020

ความสำเร็จเล็ก ๆ นี้ กลายเป็นก้าวที่มั่นคง และทำให้พวกเขาได้กลับมามีโอกาสทำข้อตกลงการใช้เครื่องยนต์กับ Mercedes ในปี 2021 แฟนมอเตอร์สปอร์ตทุกคนรับรู้ได้ว่า "McLaren กำลังจะกลับมา" ทีมที่มีวิศวกรระดับหัวกะทิจากทั่วทุกมุมโลกใน McLaren Technology Center สำนักงานใหญ่ที่อังกฤษ ควบคู่กับเครื่องยนต์อันไร้เทียมทานจนคว้าแชมป์ผู้ผลิตมา 7 ปีซ้อน ย่อมเป็น "คู่สร้างคู่สม" บนกริด F1 อย่างปฏิเสธไม่ได้

และนั่นก็เป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้อง หลังจาก แลนโด้ นอร์ริส คว้าอันดับ 4 ในการแข่งขันสนามเปิดฤดูกาล 2021 ที่บาห์เรน และสามารถคว้าโพเดียมมาครองได้ถึง 3 ครั้งในช่วง 9 สนามแรก ก่อนที่ แดเนี่ยล ริคคาร์โด้ จะคว้าชัยในรอบ 3,213 วันให้กับ McLaren ที่มอนซ่า ยิ่งไปกว่านั้น การที่ แลนโด นอร์ริส เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 2 ยังทำให้ทีมคว้าชัยชนะแบบ 1-2 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 และเป็นทีมเดียวที่ทำได้ตลอดทั้งฤดูกาล 2021 

ในตอนนั้น McLaren ดูเหมือนกำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ และมีโมเมนตัมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอย่างเต็มตัวตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

ฤดูกาล 2022: ภาพแห่งความสุข สู่ฝันร้าย

ดั่งหลักสัจธรรมการใช้ชีวิตที่ว่า "ความสุขนั้นอยู่ไม่นาน" เป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด สำหรับ Formula 1 ฤดูกาล 2022 คือ "การรีเซ็ต" ครั้งใหญ่ในวงการ ภายใต้กฎตัวถังรถใหม่ทั้งหมด โดยใช้หลัก Ground Effect เข้ามามีผลกับตัวรถมากยิ่งขึ้น

McLaren เป็นทีมที่ถดถอยทางสถิติและน่าผิดหวัง สำหรับทีมที่เคยทำผลงานได้น่าประทับใจที่สุดในกลุ่มกลางตารางมาตลอดหลายปี หลายคนคาดการณ์ว่าพวกเขาจะใช้กฎใหม่เพื่อลดช่องว่างจาก 3 ทีมยักษ์ใหญ่ (Red Bull, Mercedes และ Ferrari) แต่ท้ายสุดแล้วกลับร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 ในตารางผู้ผลิต พ่ายให้กับทีม Alpine

ไม่มีชัยชนะ, ไม่มีโพลโพซิชั่น, มีเพียงโพเดียมเดียวจากที่เคยทำได้ 5 ครั้ง และคะแนนที่ลดลงอย่างน่าใจหายจาก 275 เหลือเพียง 159 คะแนน โดยจุดเริ่มต้นของหายนะนั้นเกิดในช่วงทดสอบก่อนเปิดฤดูกาลที่บาห์เรน ซึ่งริคคาร์โด้ติดโควิด-19 ทำให้นอร์ริสต้องรับหน้าที่ทดสอบรถเพียงคนเดียว 

แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงไปอีกเมื่อทีมเจอปัญหาระบบระบายความร้อนของเบรก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโปรแกรมการวิ่งของทีม และต้องเผชิญกับสุดสัปดาห์การแข่งขันที่น่าผิดหวังในสนามแรกของฤดูกาล 2022 โดย แลนโด นอร์ริส ควอลิฟายได้เพียงอันดับที่ 13 ส่วน ดาเนียล ริคคาร์โด จบในอันดับที่ 18 

งานใหญ่เริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาล จนทำให้ McLaren ต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่ แลนโด้ นอร์ริส ก็ยอมรับว่า มันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน

"ผมคิดว่าทุกคนกำลังทำงานกันอย่างหนัก เราเพิ่งมีการประชุมที่ยาวนานเพื่อทบทวนทุกอย่าง" เขากล่าว 

"พวกเขาทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ แม้ว่าวันนี้จะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ตอนนี้เราเข้าใจปัญหามากกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว เหลือแค่การลงมือแก้ไขมัน"

"แต่มันไม่ใช่งานที่จะแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นมาแล้วทุกอย่างจะสุดยอด หรือไปถึงซาอุดีอาระเบียแล้วจะกลับมายอดเยี่ยมได้เลย มันต้องใช้เวลา และทีมงานก็จะทำงานอย่างหนักเพื่อพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ได้"

และดูเหมือนจะเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของทีมที่ไม่สามารถคาดการณ์ปัญหาบางอย่างจากการเปลี่ยนแปลงกฎใหม่ได้ดีพอ ทำให้รถ MCL36 มีจุดอ่อนที่ชัดเจน โดยเฉพาะการยึดเกาะ และการปรับตัวเข้ากับการใช้ล้อ 18 นิ้ว นั่นหมายความว่า สองนักแข่งของทีมมีปัญหาในการเลี้ยวโค้งในทุก ๆ สนาม ซึ่งส่งผลในเวลาต่อรอบทั้งในรอบควอลิฟาย และการแข่งขันอย่างมีนัยยะสำคัญ

เรื่องน่าปวดหัวยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากการที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอ การแก้ปัญหารถ MCL36 พร้อมกับโปรเจ็กต์การพัฒนารถปี 2023 ที่ทำค้างเติ่งไว้อยู่ ทำให้ขาดวิศวกรที่จะบาลานซ์โปรเจคทั้งสองให้รอดตลอดลอดฝั่งได้

เท่านั้นยังไม่พอ ผลจากการปรับลดขนาดทีมในช่วงโควิด-19 และการบริหารภายใต้เพดานงบประมาณ ส่งผลให้การปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งอุโมงค์ลมใหม่, เครื่องซิมูเลเตอร์ และโรงงานผลิต ล่าช้าออกไปอีกถึง 18 เดือน ทำให้การทำชิ้นส่วนอัพเกรดระหว่างฤดูกาลเป็นไปได้อย่างยากลำบาก

ฤดูกาล 2022 น่าจะเป็นปีที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่สำหรับ McLaren แต่ฤดูกาลเก่ากำลังจบไป และฤดูกาลใหม่กำลังจะเข้ามา ซึ่งทำให้แฟน ๆ ยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง

 

ฤดูกาล 2023: อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก่อนการเปลี่ยนแปลง

McLaren ฤดูกาล 2023 มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ โดย อันเดรีย สเตลล่า มารับหน้าที่เป็นทีมบอส แทน อันเดรียส ไซเดิล ที่ตัดสินใจแยกทางกับทีมไป รวมถึงการเปิดตัวนักขับดาวรุ่งอย่าง ออสการ์ ปิอัสตรี ดีกรีแชมป์ Formula 3 ฤดูกาล 2020 และ Formula 2 ฤดูกาล 2021 ผู้ซึ่งเป็นความหวังในการสร้างทีมยุคใหม่

นอกจากนี้ยังการจ้างวิศวกรอีกมากหน้าหลายตาเพื่อให้สอดคล้องกับโปรเจคที่ต้องการพัฒนาให้เสร็จสิ้น พร้อมกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีในการก่อตั้งทีม ด้วยการเปิดตัวรถ MCL60 เพื่อใช้ทำการแข่งขันในฤดูกาลนั้น

ทีมมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะวิ่งหนีจากฝันร้ายในฤดูกาล 2022 แต่อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นฤดูกาลกลับเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ซึ่งหัวใจของปัญหาคือ ทีมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเร็วโดยรวมของรถ ทำให้ MCL60 มีแรงต้านอากาศสูง และสร้างแรงกดได้ไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ทำให้ McLaren ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาในระหว่างโครงการ ทำให้รถ MCL60 ที่เปิดตัวออกมานั้นสะท้อนแนวทางการพัฒนาที่ล้าหลังกว่าคู่แข่งอยู่หลายเดือน แถมยังต้องทำงานภายใต้ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานช่วงต้นฤดูกาล 2023 โดยในขณะนั้นพวกเขายังต้องใช้งาน อุโมงค์ลมของ Toyota ซึ่งถือว่ามีเทคโนโลยีที่เก่ากว่าเมื่อเทียบกับอุโมงค์ลมของทีมชั้นนำอื่น ๆ เพราะอุโมงค์ลมของตัวเองมีกำหนดการแล้วเสร็จช่วงปลายปี  

พูดง่าย ๆ คือ ในขณะที่ทีมอื่นกำลังเดินหน้าไปกับคอนเซปต์ที่ลงตัว McLaren เพิ่งจะเริ่มต้นกับแนวทางใหม่ ทำให้พวกเขาตามหลังคู่แข่งไปหนึ่งก้าวตั้งแต่ยังไม่เริ่มฤดูกาล 

ผลจากปัญหาทั้งหมดข้างต้น ทำให้ MCL60 มีจุดอ่อนที่ชัดเจนในเรื่องการเสื่อมสภาพของยางที่สูงกว่าทีมคู่แข่งอย่าง Red Bull มาก ทำให้ไม่สามารถรักษาความเร็วที่สม่ำเสมอตลอดระยะทางการแข่งขันได้

อย่างไรก็ตาม McLaren ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาอย่างน่าทึ่ง ทีมงานได้ทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาแพ็คเกจอัปเกรดตลอดทั้งฤดูกาล โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงทั้งด้านกลไกและแอโรไดนามิกเพื่อเพิ่มแรงกดและแก้ไขปัญหาการจัดการยางโดยเฉพาะ

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลเกิดขึ้นในช่วงกลางซีซั่น เมื่อทีมได้นำแพ็คเกจอัปเกรดชุดใหญ่มาใช้ในการแข่งขันที่ออสเตรียและสิงคโปร์ การอัปเกรดครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและพลิกโชคชะตาของทีมไปโดยสิ้นเชิง

โดย แลนโด นอร์ริส กลับมาคว้าโพเดียมได้ นับตั้งแต่ที่อิโมล่า ประเทศอิตาลี ปี 2022 ด้วยการคว้าอันดับ 2 ที่ซิลเวอร์สโตน ประเทศสหราชอาณาจักร ก่อนคว้าโพเดียมได้อย่างต่อเนื่อง และดาวรุ่งน้องใหม่อย่าง ออสการ์ ปิอัสตรี ฉายแววคว้าโพเดียมแรกในอาชีพของเขาได้สำเร็จที่ญี่ปุ่น พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ คว้าชัยชนะใน Sprint Race ที่กาตาร์ ซึ่งเป็นชัยชนะใน Sprint Race ครั้งแรกของ McLaren

ฝันร้ายที่ผ่านมา มันได้ผ่านไปแล้ว ดูเหมือนว่าทีมมะละกอ จะพบเจอเส้นทางขอตัวเองอีกครั้ง พวกเขากลับมาจบอันดับ 4 ในตารางการแข่งขันชิงแชมป์ผู้ผลิต และตอนนี้กำลังที่จะก้าวกระโดด

 

ฤดูกาล 2024: รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง

ในวันที่ 1 มกราคม 2024 วิศวกรชื่อดังอย่าง ร็อบ มาร์แชลล์ ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการ หากเปรียบเทียบง่าย ๆ กับวงการฟุตบอล ก็ประมาณการย้ายข้ามฟากจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังรุ่งโรจน์ สู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังสร้างทีมหลังบ้านใหม่ฃ
 
มาร์แชลล์ตัดสินใจย้ายจาก Red Bull มารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ที่ McLaren ซึ่งต่อมาถูกปรับให้เป็นตำแหน่ง "หัวหน้าฝ่ายออกแบบ" แต่ยังคงมีอำนาจดูแลฝ่ายเทคนิคในระดับสูงสุด โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่าชายคนนี้ จะเข้ามา "เปลี่ยนเกม" ให้ McLaren กลายเป็นทีมหัวแถว

ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น คำตอบคือ McLaren ประสบปัญหาเรื่องของแอโรไดนามิก ตั้งแต่เปลี่ยนกฎในปี 2022 แม้ว่าจะฟื้นตัวในครึ่งฤดูกาลหลังของปี 2023 แต่พวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำให้พวกเขาพบเจอจิ๊กซอว์ที่สำคัญเพื่อเข้ากับเครื่องยนต์ Mercedes ที่มีสเถียรภาพสูง จนสามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้

ความเชี่ยวชาญพิเศษของมาร์แชลล์ คือ การออกแบบแก่นแท้ของตัวรถ เพื่อรีดประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ ให้ออกมาสูงสุด ซึ่งหมายถึงการสร้างรถที่เร็วทั้งในทางตรงและสมดุลอย่างยิ่งในโค้ง อันเป็นจุดอ่อนของพวกเขามาโดยตลอด

ที่สำคัญกว่านั้น เขาคือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิ้นส่วนแอโรไดนามิกที่ยืดหยุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ Flexi-Wing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ Red Bull ใช้สร้างความได้เปรียบคู่แข่งมาตลอดหลายปี และครองความสำเร็จส่ง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น คว้าแชมป์โลกแบบขาดลอย

โดยฤดูกาล 2024 พวกเขาเปิดตัวรถ MCL38 สู้ศึก Formula 1 พร้อมกับรั้งสองนักขับทั้ง แลนโด้ นอร์ริส และ ออสการ์ ปิอัสตรี มาได้ ท่ามกลางตลาดนักแข่งที่โกลาหล

ในช่วงเปิดฤดูกาล MCL38 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดเป็นอันดับ 3 ในสนาม รองจาก Ferrari SF-24 แม้จะยังมีจุดอ่อนเรื่องการจัดการยาง แต่ความเร็วในรอบควอลิฟายก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของฤดูกาลมาถึงที่ไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อทีมได้เปิดตัวชุดอัปเกรดครั้งใหญ่ และผลลัพธ์ของมันก็เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แลนโด้ นอร์ริส สามารถไล่แซง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น และคว้าชัยชนะครั้งแรกในอาชีพนักขับ F1 ของเขามาครองได้สำเร็จ 

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นรางวัลที่รอคอย แต่ยังเป็นการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของ MCL38 ซึ่งทำงานได้ดีเกินกว่าที่ทีมคาดการไว้จนต้องกลับไปวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด

หลังจากนั้น โมเมนตัมก็เข้าทาง McLaren อย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงการแข่งขันที่ซิลเวอร์สโตน รถ MCL38 ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดในสนามอย่างแท้จริง และความสำเร็จก็ถูกตอกย้ำด้วยการคว้าอันดับ 1 และ 2 ที่ฮังการี ซึ่งเป็นครั้งแรกของทีมนับตั้งแต่ปี 2021

พวกเขายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการอัพเกรดครั้งสำคัญที่เนเธอร์แลนด์ ส่งผลให้ นอร์ริส คว้าชัยชนะไปอย่างขาดลอย ทิ้งห่างอันดับสองอย่างเวอร์สแตพเพ่นไปกว่า 27 วินาที 

และช่วงเวลาประวัติศาสตร์ก็มาถึง เมื่อ ออสการ์ ปิอัสตรี คว้าชัยชนะที่อาเซอร์ไบจาน ส่งผลให้ McLaren ทะยานขึ้นเป็น ผู้นำในศึกชิงแชมป์โลกประเภทผู้ผลิต ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014

การแข่งขันเดินทางมาถึงสนามสุดท้ายที่อาบูดาบี แลนโด นอร์ริส ก็คว้าชัยชนะปิดท้ายฤดูกาลได้อย่างงดงาม ส่งผลให้ McLaren คว้าแชมป์โลกประเภทผู้ผลิต มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 ปิดฉากการรอคอยอันยาวนานถึง 26 ปี และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ Formula 1

แม้ว่าแชมป์โลกประเภทนักขับ จะยังคงเป็น มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ที่คว้าแชมป์สมัยที่ 4 มาครองอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางปัญหาทั้งตัวรถ และตัวทีมของ Red Bull แต่นั่นคือสัญญาณเตือนไปยังทุก ๆ ทีมบนกริด Formula 1 แล้วว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับมาทวงแชมป์โลกนักขับอีกครั้ง

 

ฤดูกาล 2025: สีส้มมะละกอครองสนาม

หลังจากที่ McLaren กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์โลกประเภทผู้ผลิตได้สำเร็จในฤดูกาล 2024 พวกเขาก้าวเข้าสู่ปี 2025 ในฐานะ "ทีมเต็ง" ที่ทุกสายตาจับตามอง แม้ว่าจะถูกลดเวลาในการทดสอบรถตามกฎข้อบังคับ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล รถ MCL39 ได้แสดงแสนยานุภาพเหนือคู่แข่งทั้งหมด ด้วยการคว้าชัยชนะไปแล้วถึง 11 จาก 14 สนามในช่วงครึ่งซีซั่นแรก แบ่งเป็นชัยชนะของ แลนโด้ นอร์ริส 5 ครั้ง และ ออสการ์ ปิอัสตรี 6 ครั้ง ก่อนปิอัสตรีมาคว้าชัยชนะที่ 6 ในสนามแรกหลังซัมเมอร์เบรกอีก

ไม่เพียงเท่านั้น McLaren สามารถคว้าโพเดียมได้เกือบทุกสนามที่ลงแข่งขัน ยกเว้นเพียงแค่ที่แคนาดา ซึ่งทั้งสองคนพลาดชนกันเองเท่านั้น และพวกเขาสามารถจบการแข่งขันแบบ 1-2 ได้ถึง 7 ครั้ง ในสนามที่จีน, ไมอามี่, สเปน, ออสเตรีย, สหราชอาณาจักร, เบลเยียม และฮังการี โดยใน 7 สนามดังกล่าว พวกเขาคว้าอันดับ 1-2 ติดต่อกัน 4 สนามรวดนับตั้งแต่ออสเตรียถึงฮังการีอีกด้วย 

ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ได้จุดประกายการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลกขึ้นมาภายในทีมระหว่างสองนักขับ โดย ออสการ์ ปิอัสตรี นำอยู่ในตารางคะแนนแชมป์โลกประเภทนักขับ และ แลนโด้ นอร์ริส ที่ตามมาติด ๆ ในอันดับ 2 

เบื้องหลังความแรงนี้ เป็นผลจากการที่รถ MCL39 ภายใต้การรับผิดชอบของ ร็อบ มาร์แชลล์ ที่มีแอโรไดนามิกดีเป็นทุนเดิม นำมาตีบวกกับเทคนิคใหม่ ที่มีกุญแจสำคัญซ่อนอยู่ในนวัตกรรมของระบบช่วงล่าง และระบบเบรก ที่ทำงานสอดประสานกันอย่างชาญฉลาด

McLaren ได้ออกแบบระบบกันสะเทือนหน้าในรูปแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะปล่อยให้แรงเบรกถูกส่งผ่านไปยังสปริงและทำให้เกิดการยุบตัว พวกเขาได้ใช้มุมของปีกนกในการเปลี่ยนทิศทางของแรงเบรกให้ไปต้านกับการยุบตัวของรถแทน ผลลัพธ์ก็คือ รถแข่งของ McLaren แทบจะไม่มีอาการหน้าทิ่มเลยในขณะเบรก และสามารถรักษาสภาพที่ "ขนานกับพื้น" เอาไว้ได้ตลอดเวลา

ส่วนการออกแบบท่อระบายความร้อนเบรกของพวกเขานั้นก็มีความแตกต่างจากทีมอื่น ท่อระบายความร้อนเบรกไม่ได้ทำหน้าที่แค่ระบายความร้อนของจานเบรกเท่านั้น แต่ยังเป็นชิ้นส่วนทางแอโรไดนามิกที่สำคัญอย่างยิ่งในการจัดระเบียบกระแสลมที่ไหลผ่านล้อ ซึ่งช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของยาง อีกด้วย และที่สำคัญการออกแบบนี้ ผ่านการตรวจสอบจาก FIA ว่า "ไม่ผิดกฎ" แต่อย่างใด

สำหรับครึ่งหลังของฤดูกาล 2025 ทีม McLaren มีความน่าสนใจในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการบริหารทีมที่เปลี่ยนแปลงจนลงตัว นวัตกรรมด้านวิศวกรรมที่ก้าวหน้าทีมอื่นไปหนึ่งก้าว รวมถึงศึกสองนักขับที่พร้อมกันรีดศักยภาพสูงสุดเพื่อนำถ้วยแชมป์โลกนักขับกลับบ้าน และนำถ้วยแชมป์ผู้ผลิตกลับสู่ McLaren Technology Center ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขา

เรื่องราวของ McLaren เป็นบทพิสูจน์แห่งความ "เกือบหลับแต่กลับมาได้" ตามวลีในยุคสมัยนี้ ทีมที่ยิ่งใหญ่ล้มลุกคลุกคลานมานับไม่ถ้วน ตั้งแต่ยุค 1990s ทั้งเรื่องของโครงสร้างทีม และประสิทธิภาพของรถ ที่ทำเอาแฟนทีมตัวเองปวดหัวมานับไม่ถ้วน แต่พวกเขามีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ ในทุกครั้งที่พบความล้มเหลว พวกเขาจะกลับมาเสมอ ไม่ว่าจะยากสักแค่ไหนก็ตาม 

แม้ว่าแฟนมอเตอร์สปอร์ตรุ่นใหม่ หรือผู้ที่เข้ามาดู Formula 1 ในช่วง 2-3 ปี มานี้ อาจจะไม่ได้เห็นสิ่งที่พวกเขา "พัง" และอาจเห็นความ "ปัง" รายล้อมไปหมด แต่ทีมสีส้มมะละกอเป็นเรื่องราวที่ควรค่าแก่การเรียนรู้อย่างแท้จริง

 

แหล่งอ้างอิง

https://wwwthe-racecom/formula-1/the-key-lessons-from-mclarens-disappointing-2022-season/
https://wwwautosportcom/f1/news/norris-mclaren-f1-recovery-not-an-overnight-job/9157531/
https://wwwautosportcom/f1/news/norris-2022-f1-cars-still-sensitive-to-wind/8952427/
https://youtube/YTnAZxqD5w4
https://youtube/3mAeVIA94n0

Author

พงศ์ปณต ตั้งตราชู

นักเล่ามอเตอร์สปอร์ตในคราบพนักงานออฟฟิศ

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น